วันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

บทบาทหน้าที่ และภาระงานของครู


บทที่ 2
บทบาท หน้าที่ และภาระงานของครู

ครู (Teachers) เป็นบุคคลที่เกิดมาพร้อมกับสังคมหรือคนๆ เดียวก็สามารถเป็นครูได้โดยเป็นครูของตนเองที่เรียกว่า ทำผิดเป็นครู และการทำถูกก็เป็นครูได้เช่นกัน  ครูเป็นบุคคลที่ทำหน้าที่ปกครองดูแลเด็กไม่น้อยไปกว่าบิดา มารดา  หรือผู้ปกครอง เมื่อครูได้รับการฝากความหวังจากบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเด็ก เยาวชน นักเรียน  โดยเล็งเห็นว่าครูเป็นบุคลสำคัญในสังคม  และสามารถนำพาสังคมไปสู่ความปกติสุขได้  ซึ่งมีนักการศึกษา  ผู้เชี่ยวชาญ  และหน่วยงานต่างๆ ได้พยายามกำหนดบทบาท  หน้าที่  และภาระงานให้กับครูได้ยึดถือเป็นแนวทางในการปฏิบัติดำเนินตามความหวังของบุคคลดังกล่าวเพื่อให้ความหวังที่ฝากไว้กับครูได้บรรลุวัตถุประสงค์อย่างสูงสุด  เนื่องด้วยเด็ก  เยาวชน  นักเรียน  เป็นประดุจดังดวงใจ และเป็นทรัพยากรที่ล้ำค่ายิ่งของชาติบ้านเมืองสืบไป

ความหมายของบทบาท หน้าที่ ภาระ และงาน
สำหรับความหมายของบทบาท  หน้าที่  ภาระงานนั้น  ได้มีนักวิชาการและผู้ทรงคุณวุฒิให้ทัศนะไว้ ดังต่อไปนี้
1.    บทบาท
พจนานุรม  ฉบับราชบัณฑิตยสถาน  พ.ศ. 2542   ได้ให้ความหมายคำว่า บทบาท เป็นคำนาม หมายถึง  การทำท่าตามบท  โดยปริยาย  หมายความว่า  การทำตามหน้าที่ที่กำหนดไว้  เช่น บทบาทของพ่อแม่  บทบาทของครู (ราชบัณฑิตยสถาน. 2546 : 602)
ยนต์ ชุ่มจิต (2553 : 74) ได้ให้ความหมายของคำว่า บทบาท คือ ภาระที่ต้องรับผิดชอบตามสถานภาพของแต่ละบุคคล
พศิล แตงจวง (2554 : 60) ได้ให้ความหมายของบทบาท หมายถึง พฤติกรรมของคนที่เกิดขึ้นโดยตำแหน่งหน้าที่รับผิดชอบ  จะโดยตั้งใจหรือถูกบังคับก็ตาม เช่น บทบาทความเป็นพ่อ-แม่-ลูก ของแต่ละคนจะต้องสามารถแสดงบทบาทได้หลายอย่าง  ขึ้นอยู่กับสถานภาพขณะนั้น
ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า  บทบาท  หมายถึง  การแสดงพฤติกรรมของคนที่ได้กำหนดไว้กับตำแหน่งของแต่ละคน  ขึ้นอยู่กับสถานภาพที่เป็นโครงสร้างของสังคมในขณะนั้น
2.   หน้าที่
พจนานุกรม  ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ได้ให้ความหมายคำว่า หน้าที่เป็นคำนาม
หมายถึง กิจที่จะต้องทำด้วยความรับผิดชอบ (ราชบัณฑิตยสถาน. 2546 : 1247)
ศิริวรรณ  เสรีรัตน์  และคณะ (2538 : 123) ได้ให้ความหมายของคำว่า หน้าที่หมายถึง ลักษณะของกิจกรรมการทำงานซึ่งสามารถระบุและกำหนดความแตกต่างจากงานอื่น
ยนต์ ชุ่มจิต (2553 : 75) ได้ให้ความหมายของคำว่า หน้าที่ หมายถึง กิจที่ต้องทำ หรือสิ่งที่บุคคลจำเป็นต้องกระทำ
ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า  หน้าที่ หมายถึง สิ่งที่บุคคลจำเป็นต้องกระทำในลักษณะของกิจกรรมการทำงานซึ่งสามารถระบุและกำหนดความแตกต่างจากงานอื่นด้วยความรับผิดชอบ
3.   ภาระ
พจนานุกรม  ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542  ได้ให้ความหมายของคำว่า ภาระเป็นคำนาม หมายถึง ของหนัก น้ำหนัก ธุระที่หนัก การงานที่หนัก  หน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ เช่น พ่อแม่มีภาระในการเลี้ยงลูก  ครูมีภาระในการอบรมสั่งสอนศิษย์ (ราชบัณฑิตยสถาน. 2546 : 821)
4.   งาน
พจนานุกรม  ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ได้ให้ความหมายของคำว่า งานเป็นคำนาม หมายถึง  สิ่งหรือกิจกรรมที่ทำ  มักใช้เข้าคู่กับคำว่า การ เป็น เป็นการ เป็นงาน ใช้การใช้งาน การพิธี หรือการรื่นเริงที่คนมาชุมนุมกัน เช่น งานบวช งานปีใหม่ (ราชบัณฑิตยสถาน. 2546 : 278)
ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า  บทบาท หน้าที่ ภาระงาน หมายถึง การแสดงออกซึ่งพฤติกรรมของคนตามสิ่งที่บุคคลจำเป็นต้องกระทำในลักษณะของกิจกรรมการทำงานที่ต้องรับผิดชอบ สำหรับคำว่า บทบาท หน้าที่ ภาระ และงาน ต้องมองประเด็นให้มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันโดยสถานการณ์ตามธรรมชาติ  ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าบุคคลทุกคนต้องมีการแสดงออกตามตำแหน่งของตนเอง (บทบาท)  ซึ่งสามารถระบุและกำหนดความแตกต่างจากงานอื่น (หน้าที่)  เป็นกิจกรรมที่ทำ (งาน)  ด้วยความรับผิดชอบ (ภาระ)  จึงทำให้ชีวิตมีความสมบูรณ์ครบถ้วน
บทบาทของครู
ครูเป็นบุคลากรวิชาชีพที่ทำหน้าที่หลักในการสั่งสอนและถ่ายทอดความรู้ให้แก่ศิษย์ด้วยความหนักแน่นในด้านการเรียนการสอน  และการส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยวิธีการต่างๆ  ใสถานศึกษาทั้งของรัฐและเอกชน
ศิษย์ควรแก่การให้ความเคารพ  โดยแสดงพฤติกรรมของตนเองตามที่ได้กำหนดไว้กับตำแหน่งของครุแต่ลนคน ขึ้นอยู่กับสถานภาพที่เป็นโครงสร้างของสังคมในขณะนั้น  ดังนั้น  บทบาทของครูตามทัศนะของบุคคลสำคัญทางการศึกษาได้ให้ไว้นานาทัศนะ ดังต่อไปนี้
สำนักงานคณะกรรการวันธรรมแห่งชาติ (2537: 3-6 อ้างอิงใน ธีรศักดิ์ อัครบวร. 2545 : 24-26)  ได้เสนอวัฒนธรรมให้ครูได้นำไปส่งเสริมวัฒนธรรมของชาติให้กับนักเรียนโดยกำหนดไว้ 11 ประการ
1.    สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์  ครูสั่งสอนให้นักเรียนได้มีความรู้ ความเข้าใจปลูกฝังให้นักเรียนได้รักและหวงแหนความเป็นชาติ ศาสนา และจงรักภัคดี พร้อมทั้งสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ที่ต่อปวงชนชาวไทยในด้านต่างๆ เพื่อให้ปวงชนชามไทยได้อยู่ดีมีสุข รู้รักสามัคคี
2.   วิถีครอบครัวและชุมชน  ครูสั่งสอนให้นักเรียนได้มีความรู้  ความเข้าในการมีสภาพความเป็นผู้รู้ของครอบครัวและชุมชน  พร้อมทั้งให้วามสำคัญกับครอบครัวและชุมชนตามบทบาทหน้าที่ของนักเรียนเท่าที่สารถกระทำได้  ตลอดจนเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัวและชุมชน
3.   ขนบธรรมเนียมและประเพณี  ครูสั่งสอนให้นักเรียนได้มีความรู้  ความเข้าใจเกี่ยวกับมรดกทางวัฒนธรรมที่เป็นขนบธรรมเนียมและประเพณีของชาติไทย  อันมีคุณค่าและส่งเสริมความสามัคคีในหมู่คณะของภูมิภาคต่างๆ
4.   ภาษาไทย  ครูสั่งสอนให้นักเรียนได้มีความรู้  ความเข้าใจเกี่ยวกับภาษาไทยซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของชาติไทย ภาษาบ่งบอกถึงความเป็นชิอารยะ โดยครูส่งเสริมให้นักเรียนได้เกิดความรักในภาษาไทย พร้อมทั้งใช้ภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง  และให้ภาษาไทยอยู่คูกับความเป็นชาติไทยสืบไป
5.    ระเบียบวินัย ครูสั่งสอนให้นักเรียนได้มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับระเบียบวินัย ทั้งนี้ เพราะเป็นวินัยแห่งตนและวินัยของชนชาติไทย พร้อมส่งเสริมให้นักเรียนได้ประพฤติปฏิบัติตนให้เป็นคนมีระเบียบวินัยที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมของชาติไทย
6.    ค่านิยม คุณธรรม และจริยธรรม  ครูสั่งสอนให้นักเรียนได้มีความรู้  ความเข้าใจ  และนำไปปฏิบัติที่เป็นค่านิยม คุณธรรม และจริยธรรม เช่น การให้อภัย รักความสงบ เคารพผู้ใหญ่ อ่อนน้อมถ่อมตน  มีการยิ้มให้กัน  จึงทำให้ประเทศไทยและสังคมไทยมีเสน่ห์แก่ผู้พบเห็นโดยทั่วไปเป็นการเพิ่มคุณค่าให้ชาติบ้านเมืองสืบไป
7.    วิถีชีวิตและภูมิปัญญาไทย ครูสั่งสอนให้นักเรียนได้มีความรู้ ความเข้าใจ มีความภาคภูมิใจในภูมิ
ปัญญาของคนไทย  พร้อมทั้งนำมาใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันเพื่อไม่ให้ภูมิปัญญาหมดไปจากวิถีชีวิตของคนไทย
8.      การแต่งกายแบบไทย   ครูสั่งสอนให้นักเรียนได้มีความรู้  ความเข้าใจ และนิยมไทยในการบ่งบอกถึงความเป็นไทย  โดยการแต่งกายให้ถูกต้องตามกาลเทศะ  ทั้งที่เกี่ยวกับวิถีชีวิตและภูมิปัญญาไทยอย่างสอดคล้องและสวยงามแก่ผู้พบเห็น
9.     ศิลปกรรมแบบไทย   ครูสั่งสอนให้นักเรียนได้มีความรู้  ความเข้าใจในศิลปกรรมแบบไทย พร้อมทั้งมีการอนุรักษ์  สร้างสรรค์  เห็นคุณค่า  มีความซาบซึ้งในศิลปกรรมแบบไทย
10.    วัฒนธรรมกับการท่องเที่ยว   ครูสั่งสอนให้นักเรียนได้มีความรู้  ความเข้าใจในความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมกับการท่องเที่ยว  เป็นการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม  ให้นักเรียนได้เข้าไปสัมผัสกับวัฒนธรรมของไทยตามภูมิภาคต่างๆ  เพื่อได้เกิดการเรียนรู้ด้านวัฒนธรรมอีกด้วย
11.    วัฒนธรรมกับการพัฒนา   ครูสั่งสอนให้นักเรียนได้มีความรู้  ความเข้าใจเกี่ยวกับการพัฒนาคนที่อยู่บนพื้นฐานของวัฒนธรรม  ที่ก่อให้เกิดดุลยภาพในการพัฒนาระหว่างความก้าวหน้ากับการอนุรักษ์
ธีรศักดิ์ อัครบวร (2545 : 18-27)  ได้กล่าวว่า ครูในฐานะที่เป็นวิชาชีพครูและเป็นปูชนียบุคคลของสังคมนั้น จึงมีบทบาทและความสำคัญเป็นอย่างสูง  ครูมีบทบาทกับทุกส่วนของสังคม  เป็นทั้งผู้ร่วมสร้างสรรค์สังคม  เป็นผู้แก้ปัญหาและเยียวยาสังคม  โดยจำแนกบทบาทและความสำคัญของครูได้ ดังนี้
1.    บทบาทและความสำคัญของครูในอดีต  คำว่า ในอดีตเริ่มต้นตั้งแต่มนุษย์เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตจากชาวป่ามาเป็นชุมชนกสิกรรม  ซึ่งมีความเป็นอารยธรรมหรือความศิวิไลซ์ (Civilization) มนุษย์จึงอยู่อาศัยกันเป็นหมู่ เป็นกลุ่ม เป็นเผ่า จึงเกิดการแย่งชิงที่ดินที่ความอุดมสมบูรณ์  เนื่องจากมรการเปลี่ยนแปลงชีวิต  จึงเกิดระบบกษัตริย์ขึ้นเพื่อปกครอง  คุ้มครอง  และดูแลการเกษตรของคนแต่ละเผ่า  กษัตริย์จึงตั้งเป็นราชสำนักของกษัตริย์  และพร้อมทั้งมีผู้รู้  ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาการและพิธีการต่างๆ  มาช่วยเหลือกษัตริย์ บุคคลเหล่านี้เรียกว่า ราชครู หรือปุโรหิต
ครูสังคมตะวันตกในศตวรรษที่ 18 ที่เป็นครูผู้ชาย (Schoolmasters) ในประวัติศาสตร์อเมริกันบันทึกไว้ว่า ครูถูกมองในเรื่องคุณธรรมของส่วนบุคคล เป็นเกณฑ์ในการที่จะยอมรับให้เป็นครู ผู้สอนต้องทำงานโรงเรียนทุกอย่าง เช่น ทำความสะอาดห้องเรียน ดูแลบริเวณโรงเรียน ตักถ่านหิน ตีระฆังสัญญาณ ช่วยเผยแพร่ศาสนา และอื่นๆ เป็นต้น
สำหรับครูแห่งสังคมไทยในอดีต  เป็นบุคคลผู้มีความรอบรู้ในด้านวิชาชีพ จนมีความเก่งกล้าในสาขาวิชาต่างๆ และมีความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ให้แก่บุตรหลานหรือสานุศิษย์ผู้มาฝากตัวไว้ ครูซึ่งได้รับการยกย่อง นับถือจากสังคมมาก สำหรับบทบาทหน้าที่หน้าที่สำคัญของสังคมไทยในอดีต เป็นผู้สั่งสอนวิชาการ อบรมจริยา สอนคุณธรรม หลักการประพฤติปฏิบัติในวิชาชีพ พร้อมทั้งแนวทางการครองเรือนของศิษย์แต่ละคนอีกด้วย ครูจึงอยู่ในฐานะพิเศษทางสังคมเป็นอย่างยิ่งในสมัยนั้น
2.   บทบาทและความสำคัญของครูในปัจจุบัน คำว่า ปัจจุบันเริ่มนับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม จึงทำให้เกิดการสร้างศาสตร์ใหม่ขึ้นมา ดังนั้น ทำให้ครูจึงเป็นวิชาชีพเช่นเดียวกับวิชาชีพชั้นสูงอื่นๆ การศึกษาจึงต้องปรับตามการเปลี่ยนแปลงของสังคม เนื่องด้วยมีความต้องการกำลังคนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจที่เข้ายุคอุตสาหกรรม บทบาทและความสำคัญของครูในปัจจุบัน  มีดังต่อไปนี้
2.1                          บทบาทและความสำคัญของการสร้างเยาวชน เนื่องจากส่วนใหญ่ พ่อ แม่ของเด็กและเยาวชนต้องทำงานนอกบ้าน  และเวลาเป็นเรื่องสำคัญของการทำงานในยุคปัจจุบัน  ดังนั้น  เด็กและเยาวชนต้องเข้าสู่ระบบโรงเรียน ทั้งประเภทประจำและเดินเรียน ครูจึงสวมบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาถ่ายทอดวิชาความรู้ คุณธรรม จริยธรรม พร้อมทั้งช่วยชี้แนะให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข ในรูปแบบทางการแนะแนวและทางกิจกรรมอื่นๆ ในโรงเรียน ดังนั้น ประเทศไทยซึ่งเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ  ได้จัดทำปริญญาสากลว่าด้วยสิทธิเด็ก ถือว่าเป็นพันธกรณีที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบ จึงเป็นการคุ้มครองครูและเด็ก ดังนั้น ครูจะต้องมีบทบาท ดังนี้
2.1.1 ครูจะต้องประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดี และเป็นที่พึ่งของเด็ก
2.1.2 ครูควรเป็นทั้งนักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยา เมื่อเด็กเกิดปัญหาจะได้สามารถช่วยเหลือและแก้ไขได้
2.1.3 ครูจะต้องเป็นผู้ประสามระหว่างครอบครัว ชุมชน กับโรงเรียน เพื่อที่แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับเด็กได้
2.1.4 ครูต้องเสียสละอุทิศเวลาทั้งแรงกาย แรงใจ และสติปัญญาเพื่อช่วยเหลือเด็ก
2.1.5 ครูต้องทราบและไม่เพิกเฉยต่อสิทธิเด็ก และให้การคุ้มครองสิทธิเด็กอย่างเป็นรูปธรรม
2.2 บทบาทและความสำคัญของครูในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์  ในทุกประเทศมีทรัพยากรต่างๆ  อยู่เป็นจำนวนมาก  แต่ทรัพยากรที่สำคัญที่สุดและมีค่าที่สุดต่อประเทศของตนเองและทำให้ประเทศนั้นๆ  เจริญก้าวหน้าไปตามลำดับนั้นคือ ทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource) ในการพัฒนาต้องใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือในการพัฒนา  และปัจจัยที่สำคัญระหว่างการศึกษากับพัฒนาทรัพยากรมนุษย์คือ ครู (Teachers) ดังนั้น ครูจึงมีบทบาทเป็นผู้พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในทุกระดับ  โดยจะขอกล่าวในแต่ละระดับ ดังนี้
2.2.1 การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระดับกึ่งฝีมือ มนุษย์ที่ได้รับการพัฒนาในระดับนี้มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ คือ
2.2.1.1 เป็นสมาชิกที่ดีของมนุษยชาติ หมายถึง เป็นบุคคลที่มีความสามารถในการสั่งสอนให้อ่านออกเขียนได้  คิดคำนวณได้  เข้าใจสภาพแวดล้อม  ติดตามความก้าวหน้าทางด้านวิชาการ  รู้จักแก้ปัญหาทั้งตนเองและสังคม  รู้จักวางแผนในการดำเนินชีวิตที่เหมาะสมอยู่ในสังคมโดยปกติสุข
2.2.1.2 เป็นสมาชิกที่ดีของวงการอาชีพ หมายถึง รักการทำงานประกอบอาชีพโดยสุจริต มีความรู้ ความเข้าใจในกระบวนการจัดการกับงานที่ทำ และทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข
2.2.1.3 เป็นสมาชิกที่ดีของสังคม หมายถึง มีความสามารถในการกระทำตนเองให้เป็นประโยชน์แก่สังคมในทุกระดับ ตั้งแต่ครอบครัว สังคมเพื่อน สังคมท้องถิ่น ภูมิภาค ประเทศชาติ และในฐานะเป็นประชากรโลก พร้อมทั้งรักษามรดกทางสังคมในทุกระดับ
2.2.2  การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระดับช่างเทคนิค  เป็นการพัฒนาบุคคลให้มีฝีมือแรงงานในระดับกลางซึ่งมีความสำคัญมากต่อระบบเศรษฐกิจที่เข้าสู่ยุคอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมชั้นสูง และเป็นระดับที่ต้องใช้แรงงานเป็นจำนวนมากเพื่อทำให้เกิดการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจให้เจริญก้าวหน้า ดังนั้น  ครูจึงเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการสั่งสอน อบรม พัฒนา คนรุ่นใหม่ให้มีความรู้ ความสามารถระดับช่างเทคนิค  และในขณะเดียวกันต้องพัฒนาบุคคลในระดับกึ่งฝีมือให้มีฐานะช่างมาเป็นระดับช่างเทคนิคเช่นเดียวกัน
2.2.3  การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระดับวิชาชีพ  เป็นการใช้เวลาในการศึกษาเล่าเรียนมากกว่าสี่ปี  ซึ่งแสดงให้เห็นได้ว่าผู้ที่ศึกษาอยู่ในระบบสถานศึกษา  และสำเร็จการศึกษาในระดับวิชาชีพครูต้องมีบทบาทสำคัญในการถ่ายทอดความรู้ให้กับศิษย์ได้มีความรู้  ความสามารถในด้านวิชาการระดับสูง พร้อมทั้งมีการอบรมบ่มนิสัยให้ถึงพร้อมในเรื่องของคุณธรรม  จริยธรรมในการดำเนินชีวิตอย่างมีคุณค่าต่อสังคมเป็นอย่างดียิ่ง  สำหรับวิชาชีพในปัจจุบันที่ศึกษาเล่าเรียนมากกว่าที่สี่ปี ได้แก่ แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร วิศวกร และครู เป็นต้น
2.3  บทบาทและความสำคัญของครูในการรักษาชาติ  มีคำกล่าวว่า การรักษาชาติคือ  การรักษาวัฒนธรรมความเป็นชาติ  คือ การมีวัฒนธรรมเป็นของตนเองอย่างโดดเด่นที่แตกต่างไปจากชาติอื่นๆ หากวัฒนธรรมของชาตินั้นๆ  สูญสลายเท่ากับความเป็นชาติก็สลายไปพร้อมๆ  กับวัฒนธรรม  ยกตัวอย่างเช่น ในอดีตชนชาติของมองโกลกับชนชาติแมนจู  โดนชนชาติจีนได้กลืนชนเผ่าทั้งสองจนวัฒนธรรมหมดสิ้น  ในปัจจุบันนี้ดินแดนทั้งสองจึงเป็นส่วนหนึ่งของจีนไปแล้ว หรือชาวเอเธนส์กลืนชาวสปาต้าร์ เป็นต้น ดังนั้น บทบาทของครูจึงมีความสำคัญต่อการรักษาวัฒนธรรม เช่น ส่งเสริม สนับสนุนให้มีกิจกรรมด้านวัฒนธรรมให้กับผู้เรียนได้ปฏิบัติ  พร้อมทั้งจัดให้มีความรู้ด้านวัฒนธรรมที่เรียกว่ามีการปลูกฝังวัฒนธรรมให้กับเด็กและเยาวชนของชาติให้รักษาไว้สืบไป
2.4 บทบาทและความสำคัญของครูในการเยียวยาสังคม ครูสามารถช่วยเหลือสังคมให้สังคมนี้น่าอยู่ น่าอาศัย มีเสน่ห์ต่อผู้พบเห็นโดยทั่วไป ซึ่งครูสามารถเหลือสังคมได้ในรูปแบบต่างๆ กัน เช่น
2.4.1 ช่วยสอนเด็กพิเศษให้ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข
2.4.2 ช่วยสอนให้ผู้หลงผิดกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีของสังคมต่อไป หรือที่เรียกว่า เป็นการขัดเกลาทางสังคม (Socialization)
2.4.3 ช่วยให้กำลังใจและชี้แนะให้กับผู้ด้อยโอกาสในสังคมได้มีกำลังใจในการ่อสู้ชีวิตต่อไป
ยนต์ ชุ่มจิต (2546 : 177-187) ได้กล่าวถึงบทบาทและความสำคัญของครูที่เป็นบทบาทในฐานะเป็นวิศวกรสังคม คำว่า วิศวกร(Engineer) เป็นคำนาม หมายถึง ผู้ประกอบกิจการงานวิศวกรรม (Engineering) ซึ่งวิศวกรรมมีได้หลายสาขาเช่น วิศวกรรมโยธา วิศวกรรมไฟฟ้า วิศวกรรมเครื่องกล เป็นต้น สำหรับวิศวกรเป็นคำใช้เรียกชื่อของคนที่ทำงานด้านวิศวกรรมซึ่งเกี่ยวข้องกับการสำรวจ การออกแบบ  การสร้าง การพัฒนาก่อให้เกิดสิ่งประดิษฐ์เครื่องมือ เครื่องใช้ เครื่องอุปโภคบริโภคที่อำนวยความสะดวกให้กับมนุษย์อยู่ในปัจจุบันและอนาคต ดังนั้น เมื่อนำบทบาทของวิศวกรมาเปรียบเทียบกับบาทของครูในการสร้างสรรค์สังคมจึงได้สมญานามว่า ครู คือวิศวกรสังคม สำหรับบทบาทของครูในฐานะเป็นวิศวกรสังคมจึงมีความสอดคล้องกับบทบาทของวิศวกรในประเด็นต่างๆ ดังนี้
1.    ครูทำงานวิจัย
วิศวกรทำงานเพื่อวิจัยเพื่อค้นพบความจริงใหม่ๆ แล้วนำไปศึกษาต่อยอดใช้พัฒนาศักยภาพที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ เช่น ความรู้เรื่องโมเลกุลของสารภายใต้อุณหภูมิและความดันสูงสามารถผลิตพลาสติกได้
ในทำนองเดียวกัน ครูทำงานวิจัยเพื่อค้นพบความรู้ใหม่ๆ แล้วนำไปศึกษาต่อยอดนำไปใช้ประโยชน์ได้ เช่น ความรู้เรื่องสาเหตุของนักเรียนหนีเรียน แล้วนำความรู้ดังกล่าวไปใช้แก้ปัญหาการหนีเรียนของนักเรียน หรือครูทำการวิจัยเรื่องเหตุปัจจัยที่ทำให้เด็กนักเรียนติดเกม แล้วจึงนำความ
2. ครูทำงานพัฒนา
วิศวกรทำงานพัฒนาเครื่องมือ เครื่องใช้ รวมถึงผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้เหมาะสมกับการใช้พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกต่างๆ ในแต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อแตกต่างกันอย่างชัดเจน
ในทำนองเดียวกัน ครูทำงานพัฒนาด้านการเรียนการสอนพร้อมสื่อการสอนให้มีความเหมาะสมระหว่างผู้ใช้ คือผู้สอน กับผู้เรียนคือนักเรียน เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้เหมาะสมกับวัยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ในแต่ละช่วงชั้นของการศึกษา
3.   ครูทำงานออกแบบ
วิศวกรทำงานออกแบบการทำงานของตนเองภายใต้เงื่อนไขข้อจำกัดเกี่ยวกับความรู้ความชำนาญ คุณลักษณะของวัสดุที่ใช้งาน และความเหมาะสมด้านเศรษฐศาสตร์
ในทำนองเดียวกัน ครูที่ทำงานออกแบบการเรียนการสอน สื่อการสอน พร้อมทั้งให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามความต้องการของสังคมและประเทศชาติ
4.   ครูทำงานการผลิต
วิศวกรทำงานการผลิตโดยการผลิตให้ได้ผลิภัณฑ์ตามที่ได้ออกแบบไว้แล้ว ในทำนองเดียวกัน ครูทำงานผลิต โดยการให้ความรู้ ความเข้าใจ และความสามรถกับผู้เรียนที่จะต้องผลิตผู้เรียนให้เป็นบัณฑิตหรือผู้สำเร็จการศึกษาที่มีคุณภาพตามที่สังคมพึงประสงค์
5.    ครูทำงานก่อสร้าง
วิศวกรทำงานก่อสร้างโดยการรับผิดชอบในการก่อสร้างต่างๆ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ก่อนแล้ว
ในทำนองเดียวกัน ครูทำงานก่อสร้างโดยการปลูกฝังให้ผู้เรียนได้มีพฤติกรรมอันงดงาม มีคุณธรรม จริยธรรม และหมายความรวมถึง พฤติกรรมอื่นๆ ที่บ่มเพาะให้กับเด็กตามที่สังคมพึงประสงค์เพื่อสร้างให้เขาเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
6.    ครูทำงานควบคุม
วิศวกรทำงานควบคุมโรงงานที่จะผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาด ต้องควบคุมดูแลโรงงานให้อยู่ในสภาพที่เอื้ออำนวยต่อการเดินเครื่องของโรงงานตลอดเวลา และต้องดูแลพนักงานของโรงงานให้มีสุขภาพดีกันทั่วหน้า จัดสภาพแวดล้อมอย่างเหมาะสม
ในทำนองเดียวกัน ครูทำงานควบคุมโรงเรียนให้มีความพร้อมที่จะใช้เป็นสถานที่เรียนให้กับนักเรียนได้ตลอดเวลา และหมายความรวมถึง อาคารประกอบ และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ สามารถพร้อมใช้ประโยชน์ได้ตลอดเวลา และสิ่งที่เกี่ยวข้องกับอาคารสถานที่ เช่น ความสะอาดที่ถูกหลักอนามัย เพื่อให้นักเรียนเป็นบุคคลที่มีคุณภาพ
7.    ครูทำงานทดสอบ
วิศวกรทำงานทดสอบโดยการทดสอบผลิตภัณฑ์ที่ผลิตออกมาวางจำหน่ายให้ผู้ใช้ได้มีความเชื่อมั่นใน
ผลิตภัณฑ์นั้นๆ
ในทำนองเดียวกัน ครูทำงานทดสอบเป็นการทดสอบผู้เรียนด้วยวิธีการที่หลากหลายให้เกิดความเชื่อมั่นได้ว่านักเรียนมีความรู้ ความสามารถ เป็นบุคคลคุณภาพ
8.    ครูทำงานการขายและการตลาด
วิศวกรทำวานการขายแบะการตลาด งานของวิศวกรไม่ใช่แต่เพียงการผลิตเท่านั้น แต่ต้องทำการขายและการตลาดควบคู่ไปด้วยเพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างบริษัท สินค้าและลูกค้า
ในทำนองเดียวกัน ครูทำงานการขายและการตลาด งานของครูเมื่อผลิตนักเรียนจบหลักสูตรไปแล้วเป็นที่ต้องการของโรงเรียนและสังคม ครูทำงานด้านการตลาด หมายความว่านักเรียนมาสมัครเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนนั้นๆ เป็นจำนวนมาก จึงเรียกว่า ครูในโรงเรียนทำการตลาดได้ดีมาก
9.   ครูทำงานบริหาร
วิศวกรทำงานบริหาร หมายถึง การทำงานกับพนักงานเป็นจำนวนมากๆ ต้องใช้หลักวิชาการด้านการบริหาร ทั้งการบริหารคน บริหารงาน และบริหารสภาพแวดล้อม เพื่อให้งานที่ได้รับมอบหมายบรรลุผลสำเร็จ
ในทำนองเดียวกัน ครูทำงานบริหาร หมายถึง การทำงานร่วมกับบุคลากรทางการศึกษาหลายฝ่าย รวมถึงตัวนักเรียนด้วย จึงต้องใช้หลีกวิชาการด้านการบริหาร
10.    ครูทำงานที่ปรึกษา
วิศวกรทำงานที่ปรึกษา หมายถึง วิศวกรทำงานเป็นที่ปรึกษาให้บริษัทหรือหน่วยงานต่างๆ ในทำนองเดียวกัน ครูทำงานเป็นที่ปรึกษาให้กับนักเรียนไว้ปรึกษาปัญหาต่างๆ ที่มีปัญหาส่วนตัวและปัญหาการเรียน
11.    ครูทำงานการศึกษาโดยตรง
วิศวกรและครูต่างก็ทำงานการศึกษาโดยตรงในลักษณะของงานสอน สำหรับวิศวกรต้องทำการสอนในคณะวิศวกรรมศาสตร์ ในทำนองเดียวกัน ครูทำงานการศึกษาโดยตรง โดยใช้ลักษณะของงานสอนผู้เรียนในทุกระดับ หรืออาจกล่าวว่า วิศวกรคือครู นั่นเอง
วิทย์  วิศทเวทย์ (2555 : 200-202) ได้กล่าวว่า ครูเป็นคนที่ฐานะสูงในสังคมไทยและมีการพูดถึงครูว่า ครูย่อมเป็นผู้ที่ทรงคุณวุฒิวิชา สามารถที่จะให้แก่ศิษย์ได้บริบูรณ์ ทั้งต้องเป็นทั้งผู้ที่จะเพาะสันดานและกิริยาอัธยาศัยให้ศิษย์เป็นคนดีด้วย... การเป็นครูย่อมเป็นตำแหน่งสูง จึงได้เน้นบทบาทของครูว่าครูต้องทำตนเป็นตัวอย่างที่ดีให้เด็ก ทั้งในด้านความรู้ ความประพฤติและอนามัย ต้องรักเด็กเหมือนลูกของตน
ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า บทบาทของครู หมายถึง ครูได้แสดงพฤติกรรมออกมาตามตำแหน่งที่ครูได้รับ ขึ้นอยู่กับสภาพของโรงเรียนนั้นๆ ที่มีความแตกต่างกัน สำหรับอดีต บทบาทของครูเป็นที่ปรึกษาของกษัตริย์ที่เรียกว่า ราชครู หรือปุโรหิตและมาถึงยุคปัจจุบันมีบทบาทเพิ่มขึ้นตามความคาดหวังของสังคมที่ต้องช่วยเหลือเด็ก เยาวชน นักเรียน ให้เจริญเติบโตเป็นผู้ที่มีคุณภาพของสังคม ให้มีความเจริญก้าวหน้าและเป็นปกติสุขอย่างยั่งยืน
หน้าที่ของครู
ครูเป็นบุคลากรวิชาชีพทาการศึกษา  เป็นปัจจัยที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อความสำเร็จของงาน การศึกษาที่ถือว่าเป็นเครื่องมืออันสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาคนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์  และทุกคนในสังคมต่างก็ฝากความหวังความสำเร็จของบุตรหลานไว้กับครู  เมื่อครูเป็นบุคคลสำคัญ ดังนั้น ครูจึงต้องมีหน้าที่ต้องกระทำเมื่อพิจารณาจากคำว่า “ครู” ในภาษาอังกฤษ คือ TEACHERS จึงสามารถมองเห็นถึงหน้าที่ของครูตามตัวอักษรในภาษาอังกฤษดังกล่าว โดยกำหนดหน้าที่ของครูไว้แต่ละตัวอักษร (ยนต์ ชุ่มจิต. 2553 : 76-83 และพศิน แตงจวง. 2554 : 91-100) และผู้เขียนขอเพิ่มเติมตัวอักษรในภาษาอังกฤษที่ขึ้นหน้าด้วยตัว T เพื่อให้เกิดความครอบคลุมในหน้าที่ของครูได้เพิ่มขึ้นในยุคสมัยปัจจุบัน ดังต่อไปนี้
Teaching : T (การสอน) เป็นหน้าที่ของครูซึ่งเป็นงานหลักที่ครูจำเป็นต้องกระทำด้วยความรับผิดชอบที่มีต่อศิษย์อย่างเสมอกัน  หรืออาจกล่าวว่า  ความเป็นครูอยู่ที่การรักในการสอนซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ  เนื่องด้วยการสอนเป็นอาชีพที่ส่งผลต่อผู้คนมากมาย  เมื่อได้ผลดีสิ่งที่ตามมาก็คือคำขอบคุณ  คำชื่นชม และกำลังใจ ผู้ที่มีประสบการณ์ในการสอนเท่านั้นที่จะเข้าใจความรู้สึกเหล่านี้ได้ดี (ศักดา ดาดวง. 2554 : 7) และการสอนได้สอดคล้องกับระเบียบคุรุสภาว่าด้วยจรรยาบรรณครู พ.ศ. 2539 ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติในการประกอบวิชาชีพครู ข้อ 4 กำหนด ให้ครูมีจรรยาบรรณดังต่อไปนี้ในข้อ (2) ครูต้องอบรม สั่งสอน ฝึกฝน สร้างเสริมความรู้ ทักษะ และวินัยที่ถูกต้อง ดีงาม ให้เกิดแก่ศิษย์อย่างเต็มความสามารถด้วยความบริสุทธิ์ใจ
           Technology : T (เทคโนโลยี) ในปัจจุบันเทคโนโลยีมีความสำคัญต่อการเรียนการสอน ครูที่มีความรู้ ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการศึกษาค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการสอนยิ่งนัก  พร้อมทั้งนักเรียนได้รับประโยชน์มากขึ้นจากการเรียนการสอนแบบธรรมดา  เนื่องด้วยโลกเทคโนโลยีเป็นโลกไร้พรหมแดน
Technique : T (เทคนิค) เป็นสิ่งที่จำต้องนำไปใช้ประกอบการสอนของครู   โดยครูต้องมีความ
สามารถในการเลือกวิธีการสอนแบบใดแบบหนึ่งที่นำมาใช่ให้เหมาะสมกับเนื้อหานั้นๆ หรือใช้กับวัยของนักเรียนเพื่อให้เกิดบรรยากาศแห่งการเรียนรู้  และนักเรียนสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนรู้อย่างถาวร
Ethic : E (จริยธรรม) เป็นหน้าที่ของครูอีกประการหนึ่งที่จะต้องกระทำอบรมจริยธรรมให้กับนักเรียนควบคู่ไปกับการสอนทำให้นักเรียนมีทั้งความรู้และความประพฤติอันดีงามเป็นที่ชื่อชอบแก่ผู้พบเห็นโดยทั่วไป  เนื่องด้วยระเบียบคุรุสภาว่าด้วยจรรยาบรรณครู พ.ศ. 2539 ได้วางหลักปฏิบัติในการประกอบวิชาชีพครู ข้อ 4 ให้ครูมีจรรยาบรรณเช่นเดียวกัน ดังปรากฏอยู่ใน (3) ครูต้องประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์ทั้งการ วาจา และจิตใจ ครูอบรมสั่งสอนจริยธรรมให้กับนักเรียนแล้วครูต้องประพฤติปฏิบัติให้เป็นแบบอย่างแก่นักเรียนได้ยึดถือเป็นตัวอย่างได้
Education : E (การศึกษา)  ครูได้ชื่อว่าเป็นครูเขา การเป็นครูที่ดีที่ทันสมัย ครูต้องหมั่นศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ  ครูที่มีความรู้มากทำให้มีความสง่างาม  มีศักดิ์ศรี  พร้อมเป็นที่ปรึกษาให้กับนักเรียนได้ตลอดเวลา  ทำให้นักเรียนให้ความเคารพนับถือมากยิ่งขึ้นเช่นเดียวกัน ดังนั้น ความเป็นครูกับการศึกษามีความสัมพันธ์กับครูมาก
English Language : E (ภาษาอังกฤษ) ในปัจจุบันและในอนาคต ครูต้องมีความรู้ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษได้ดี ทั้งนี้ วิชาการต่างๆ ได้ตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษซึ่งใช้เป็นภาษาสากล(International
Language) หากครูไม่มีความครู ความสามารถจะทำให้ครูมีข้อจำกัด ครูไม่สง่างามต่อการประกอบวิชาชีพ ประกอบกับในขณะนี้ประเทศของเราเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ซึ่งกฎบัตรอาเซียน (The ASEAN Charter) ข้อ 34 กำหนดไว้ว่าภาษาที่ใช้ในการทำงานของอาเซียนคือภาษาอังกฤษ (The working language of ASEAN shall be English)
           Equity : E (ความเสมอภาค)  หมายความว่า  ต้องปฏิบัติต่อนักเรียนด้วยความเท่าเทียมกันไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ดังระเบียบคุรุสภาว่าด้วยจรรยาบรรณครู พ.ศ. 2539 ข้อ 4 (1) ครูต้องรักและเมตตาศิษย์ โดยให้ความเอาใจใส่ ช่วยเหลือ ส่งเสริม ให้กำลังใจในการศึกษาเล่าเรียนแก่ศิษย์โดนเสมอหน้า ดังนั้น สำหรับความเสมอภาคครูต้องเป็นคติประจำใจอยู่ตลอดเวลาและเป็นส่วนที่ทำให้ผู้เรียนมีความศรัทธาในตัวครูมากยิ่งขึ้น
           Academic : A (วิชาการ) เป็นความรู้  เนื่องด้วยงานของครูเป็นงานที่ต้องใช้ความรู้ในการประกอบอาชีพ  และความรู้ของครูมีความสำคัญต่อนักเรียนที่จะต้องช่วยเหลือนักเรียนในการอธิบายขยายความให้นักเรียนได้มีความเข้าใจในเนื้อหาสาระที่เรียนในแต่ละรายวิชาได้มีประโยชน์ต่อนักเรียนในส่วนของวิชาการ ระเบียบคุรุสภาว่าด้วยจรรยาบรรณครู พ.ศ. 2539  ได้ตราไว้เช่นเดียวกับที่จะต้องให้ครูได้ประพฤติปฏิบัติ ปรากฏอยู่ในข้อ 4 (6) ครูย่อมพัฒนาตนเองทั้งใยด้านวิชาชีพ ด้านบุคลิกภาพ  และวิสัยทัศน์ให้ทันต่อ
การพัฒนาทางวิชาการ เศรษฐกิจ สังคม และ การเมืองอยู่เสมอ
           Attitude : A (เป็นที่ปรึกษา) ครูต้องเป็นที่ปรึกษาให้คำแนะนำชี้แนะให้กำลังใจ พร้อมทั้งอาจสนับสนุนเรื่องเงินทองให้กับนักเรียนด้วยตามความจำเป็นเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นได้  สำหรับความสามารถของครูในการให้คำปรึกษาที่เป็นประโยชน์ต่อนักเรียนโดยถือว่าเป็นทักษะที่จำนำไปสู่ความสำเร็จของงานพร้อมเป็น soft skills ของความเป็นครู (พศิน แดงจวง. 2554 : 92)
           Advance : A (ความเจริญก้าวหน้า) ครูเป็นบุคคลที่สามารถทำให้ตนเองเจริญก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าการงาน  จึงสามารถทำให้ผู้พบเห็นและผู้บังคับบัญชาของครูได้มีการแสดงความยินดีกับครูด้วยที่ได้เลื่อน
ตำแหน่ง เช่น วิทยฐานะครู คศ.3  คศ.4 เป็นต้น
           Cultural Heritage : C (การสืบทอดวัฒนธรรม) การทำหน้าที่สอนของครูเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อการดำเนินชีวิตในปัจจุบันและอนาคต การรักษาวัฒนธรรมเป็นการรักษาชาติวัฒนธรรมของประเทศชาตินี้ต้องคงอยู่คู่กับชาติบ้านเมือง บุคคลที่ทำหน้าที่นี้ได้ดี คือ ครูเนื่องจากครูเป็นผู้สั่งสอน ปลูกฝัง ถ่ายถอดทั้งความรู้และวิชาการของชาติไปสู่นักเรียนรุ่นต่อรุ่นเพื่อไม่ให้วัฒนธรรมล่มสลายจึงต้องทำให้มีการสืบทอดกันต่อไป  สำหรับการสืบทอดวัฒนธรรมไปสู่นักเรียนครูสามารถกระทำได้ ดังนี้
           1. ครูต้องศึกษาให้ถ่องแท้ถึงวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณีอันดีงามของชุมชน สังคมและประเทศชาติ ประพฤติปฏิบัติตนให้อยู่ในทำนองครองธรรม และพร้อมจะให้ความรู้ด้านวิชาการเกี่ยวกับวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณีที่ดีงามอย่างเต็มที่ เป็นการแสดงให้เห็นถึงภูมิรู้ของครูอีกด้วย
           2. การถ่ายทอดวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณีให้กับนักเรียนได้มีความรู้อย่างถูกต้อง พร้อมทั้งส่งเสริมให้นักเรียนได้ปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เนื่องด้วยวัฒนธรรมเป็นวิถีชีวิต (Culture is Ways of Life)
          ดังนั้น ครูซึ่งเป็นผู้นำในชุมชนอยู่แล้ว การสืบทอดวัฒนธรรมครูสามารถทำตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีต่อนักเรียนและประชาชนทั่วไป เช่น การแต่งกายให้เหมาะสมกับกาลเทศะ การแสดงความเคารพ การทักทาย และรวมถึงการแสดงกิริยามารยาทแบบไทยๆ ให้ปรากฏอย่างชัดเจน เป็นต้น
           Computer literacy : C (ความรู้ทางคอมพิวเตอร์) เป็นวัฒนธรรมใหม่ในการทำงานของครู เนื่องด้วยคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องช่วยสอนให้กับครูได้เป็นอย่างดี ช่วยเสริมสร้างสมรรถภาพแห่งความเป็นครูได้ดีมากขึ้น ทั้งนี้ เนื้อหาสาระในแต่ละรายวิชาอาจมีค่อนข้างจำกัดและไม่ทันสมัยเพียงพอ (Update) ดังนั้น คอมพิวเตอร์จึงสามารถช่วยให้ครูได้เพิ่มเติมความรู้ใหม่ๆ ให้กับนักเรียนได้ตามสมควร
           Human Relationship : H (ความเป็นมนุษย์สัมพันธ์) หมายความว่า ครูต้องทำหน้าที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ ครูต้องปฏิบัติหรือฝึกการปฏิบัติ เนื่องด้วยครูต้องทำงานร่วมกับบุคคลอื่นๆ จำนวนมากทั้งในโรงเรียนและนอกโรงเรียน มนุษยสัมพันธ์เป็นศิลปะในการทำงาน ช่วยให้งานที่ครูทำกับคนได้บรรลุผลสำเร็จมากยิ่งขึ้น เนื่องด้วยคนมีชีวิตจิตใจและความรู้สึก มนุษยสัมพันธ์กับคนมีความสอดคล้องกันตามระดับความเหมาะสม สำหรับความมีมนุษยสัมพันธ์ที่ครูพึงมีกับบุคคลต่างๆ จำแนกได้ ดังนี้
1. ครูกับผู้บังคับบัญชา ผู้บังคับบัญชา คือ บุคคลที่มีอำนาจหน้าที่ในการสั่งการปกครองดูแล โดยใช้ทั้งศาสตร์และศิทป์ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาได้ปฏิบัติในหน้าที่ให้บรรลุผลสำเร็จ ผู้บังคับบัญชาของครูที่อยู่ภายในโรงเรียน ได้แก่ ผู้อำนวยการโรงเรียน และนอกโรงเรียนมีอยู่หลายระดับ ตั้งแต่ผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาขึ้นไป ครูควรมีแนวทางในการสร้างมนุษยสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชา ดังนี้
1.1 รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาด้วยความเต็มใจ และพยายามทำงานที่ได้รับมอบหมายให้บรรลุผลสำเร็จอย่างมีคุณภาพ
1.2 กล่าวทักทายผู้บังคับบัญชา และทำความเคารพตามโอกาสอันควร
                1.3 ทำหน้าที่ของตนเองที่รับมอบหมายให้ดีที่สุด
                1.4 อาสาทำงานกับผู้บังคับบัญชา
                1.5 ไม่แสดงตนในทำนองยกตนข่มท่าน
2. ครูกับครู กล่าวคือ เพื่อนครูในโรงเรียนในแต่ละคนที่มาทำงานด้วยกันถือได้ว่าเป็นบุคลในครอบครัวเดียวกัน การติดต่อสัมพันธ์เป็นได้ทั้งความสัมพันธ์ส่วนบุคคลและความสัมพันธ์ในหน้าที่การงานมนุษยสัมพันธ์นี้ครูแสดงออกได้ในรูปของความสามัคคีในหมู่คณะ ดังนั้น ครูกับครูด้วยกันควรมีแนวทางในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ ดังนี้ (พศิน แดงจวง. 2554 : 95)
               2.1 ร่วมมือกับวางแผนการอบรมสั่งสอนนักเรียนให้เป็นพลเมืองดีของชาติ
               2.2 ช่วยเหลือเกื้อกูลกันในทางด้านวิชาการ เช่น การแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเรียนการสอน แนะนำเอกสาร หรือแหล่งวิทยาการให้
               2.3 ส่งข้อมูลนักเรียนให้กับครูในระดับสูงขึ้นไป
               2.4 เอาใจใส่กับความทุกข์สุขของเพื่อนครูเท่าที่โอกาสจะอำนวย
               2.5 ทำหน้าที่แทนกันเมื่อความจำเป็น
               2.6 ให้กำลังใจในการทำงานซึ่งกันและกัน ซึ่งอาจจะแสดงออกในรูปของวาจาหรือการกระทำก็ได้
               2.7 ไม่แสดงตนในทำนองยกตนข่มท่าน หรือแสดงตนว่าเราเก่งกว่า
3. ครูกับศิษย์ กล่าวคือ ครูกับศิษย์เป็นบุคคลที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน หรือเรียนว่า “ลูกศิษย์” มนุษยสัมพันธ์ของบุคคลทั้งสองมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ดังคำกล่าวว่า ครูต้องมีศิษย์และศิษย์ต้องมีครู ครูกับศิษย์มีความสัมพันธ์กันในสามคำด้วยกันคือ บทบาท (Roles) หน้าที่ (Function) และภาระ (Obligation) ดังนั้น ครูกับศิษย์ควรมีแนวทางในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ต่อกันและกัน โดยวิธีที่ครูควรทำ มีดังนี้ (พศิน แดงจวง. 2544 : 94)
               3.1 ส่งเสริมให้นักเรียนเรียนวิชาการต่างๆ ให้เต็มศักยภาพของรักเรียนแต่ละคน
               3.2 จัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่กระตุ้นให้นักเรียนค้นพบตัวเองและมีความสุขเพลิดเพลินกับการเล่าเรียน ไม่เบื่อหน่าย และอยากจะเรียนอยู่เสมอ
               3.3 อบรมดูแลความประพฤติให้อยู่ในระเบียบวินัยหรือกรอบของคุณธรรม ไม่ปล่อยให้กระทำชั่วด้วยประการทั้งปวง
               3.4 เป็นที่ปรึกษาหารือ ช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ให้นักเรียนทุกคนอย่างยุติธรรมและเท่าเทียมกัน
4. ครูกับผู้ปกครอง กล่าวคือ ครูกับผู้ปกครองมีทั้งบทบาท หน้าที่ และภาระร่วมกันในการพัฒนาบุคคลเดียวกัน นักเรียน คือ บุตรหลานและลูกศิษย์ที่ต้องร่วมมือกันพัฒนาบุคคลดังกล่าวให้เจริญเติบโตเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ทำประโยชน์ให้กับสังคมและดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข ดังนั้น ครูกับผู้ปกครองควรมีแนวทางในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ดังนี้ (พศิน แดงจวง. 2554 : 96)
               4.1 แจ้งผลการเรียนหรือความเจริญก้าวหน้าของนักเรียนให้ผู้ปกครองทราบเป็นระยะๆ
               4.2 ติดต่อกับผู้ปกครองเพื่อให้ช่วยดูแล แก้ปัญหาของนักเรียน ในกรณีที่มีปัญหาทางการเรียน ความประพฤติ สุขภาพ และอื่นๆ
               4.3 หาเวลาเยี่ยมผู้ปกครองเมื่อมีโอกาสอันเหมาะสม เช่น เมื่อได้ข่าวจากการเจ็บป่วยหรือสมาชิกในครอบครัวถึงแก่กรรม
              4.4 เชิญผู้ปกครองร่วมทำกิจกรรมต่างๆ ของโรงเรียน เช่น การแข่งขันกีฬาสีประจำปี งานแจกประกาศนียบัตร หรืองานชุมนุมศิษย์เก่า เป็นต้น
              4.5 เมื่อได้รับเชิญไปร่วมงานของผู้ปกครองนักเรียน เช่น งามอุปสมบท งานขึ้นบ้านใหม่ งามมงคลสมรส เป็นต้น
              4.6 ครูควรร่วมมือกันทำกิจกรรมเพื่อส่งเสริมความรู้และอาชีพให้ผู้ปกครองและประชาชนในท้องถิ่น ทำให้ประชาชนเห็นความสำคัญของครูมากยิ่งขึ้น
              4.7 เมื่อชุมชนร่วมมือกันจัดงานต่างๆ เช่น งานประจำปีของวัด หรืองานเทศกาลต่างๆ ครูควรให้ความร่วมมืออย่างสม่ำเสมอ
              4.8 แจ้งข่าวสารต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ปกครอง โดยให้ผู้ปกครองได้ทราบเป็นระยะๆ ซึ่งอาจจะส่งข่าวสารทางโรงเรียน หรือการติดประกาศตามที่อ่านหนังสือประจำหมู่บ้าน
Evalution : E (การประเมินผล) เป็นหน้าที่ของครูที่ต้องมีการจัดประเมินผลนักเรียนเพื่อการตัดสินผลการเรียนที่ได้เรียนมาเป็นระยะเวลา 1 ภาคเรียน หรือ 1 ปี มีผลการเรียนว่าได้เลื่อนขั้นเรียนหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะทำการประเมินผลนั้นครูต้องทำการวัดผลการเรียน (Measurement) ด้วยวิธีการที่หลากหลายเพื่อดูพัฒนาการของผู้เรียนในด้านต่างๆ ให้ครอบคลุมถึงจุดมุ่งหมายของการศึกษาที่มีจำนวน 3 ด้าน ประกอบด้วย (สมนึก ภัททิยธนี. 2544 : 19-22 และ ภัทรา นิคมานนท์. 2538 : 55-57)
1. ด้านพุทธพิสัย (Cognitive Dormain) เป็นจุดมุ่งหมายทางการศึกษาที่ต้องการมุ่งศึกษาเกี่ยวกับความสามารถทางสมองหรือทางสติปัญญาของผู้เรียน โดยแบ่งความสามารถออก 6 ระดับจากขั้นต่ำไปสู่ขั้นสูง คือ 1) ความรู้-ความจำ 2) ความเข้าใจ  3) การนำไปใช้ 4) การวิเคราะห์ 5) การสังเคราะห์ และ 6) การประเมินค่า สามารถแสดงได้ดังภาพประกอบที่ 2.1
                                                                             1.1  ความรู้ในเนื้อเรื่อง
ขั้นที่ 1 ความรู้ – ความจำ                                             1.2  ความรู้ในวิธี
                                      1.3  ความรู้รวบยอดในเนื้อเรื่อง
                                                                              2.1  การแปลความ
ขั้นที่ 2 ความเข้าใจ                                                      2.2  การตีความ
                                                                              2.3  การขยายความ
                      2.4  การอธิบาย
                                                                              3.1  การแก้ปัญหา
ขั้นที่ 3 การนำไปใช้                                                     3.2  นำไปปฏิบัติโดยทั่วไป
                                       3.3  นำไปใช้ในสถานการณ์ใหม่
                                                                             4.1  การวิเคราะห์ความสำคัญ
ขั้นที่ 4 การวิเคราะห์                                                    4.2  การวิเคราะห์ความสัมพันธ์
                                  4.3  การวิเคราะห์หลักการ
                                                                              5.1  สังเคราะห์ข้อความ
ขั้นที่ 5 การสังเคราะห์                                                  5.2  สังเคราะห์แผนงาน
                                    5.3  สังเคราะห์ความสัมพันธ์
                                                                             6.1  ประเมินค่าโดยอาศัยข้อเท็จจริงภายใน
ขั้นที่ 6การประเมินค่า 
                                                     6.2  ประเมินค่าโดยอาศัยข้อเท็จจริงภายนอก
ภาพประกอบที่ 2.1  แสดงจุดมุ่งหมายของการศึกษาตามลำดับขั้นของพฤติกรรมการเรียนรู้ในขอบเขตด้านพุทธิพิสัย
ที่มา: (สันติ บุญภิรมย์. 2553 : 178)

2.   ด้านจิตพิสัย (Affective Domain) เป็นจุดมุ่งหมายของการศึกษาที่ต้องการศึกษาถึงพฤติกรรมของผู้เรียนในด้านที่เกี่ยวกับความรู้สึกของผู้เรียน  เป็นพฤติกรรมทางด้านอารมณ์และสังคม โดยจำแนกออกได้เป็น 5 ระดับ คือ 1) การรับรู้ 2) การตอบสนอง 3) การสร้างค่านิยม 4) การจัดระบบค่านิยม  และ 5) การสร้างลักษณะนิสัยของบุคคล สามารถแสดงดังภาพประกอบที่ 2.2


                                                                                     1.1  การรับรู้หรือรู้จักสิ่งเร้า
ระดับที่ 1 การรับรู้                                                               1.2  การยินดีรับรู้
                                                                                     1.3  การควบคุมหรือคัดเลือกการรับรู้
                                                                                     2.1  การยินยอมตอบสนอง
ระดับที่ 2 การตอบสนอง                                                        2.2  การเต็มใจตอบสนอง
                                                                                      2.3  การพอใจตอบสนอง
                                                                                      3.1  การยอมรับในค่านิยม
ระดับที่ 3 การสร้างค่านิยม                                                     3.2  การชื่นชอนในค่านิยม
                                                                                      3.3  การยึดมั่นค่านิยม
                                                                                      4.1  การสร้างมโนทัศน์ในค่านิยม
ระดับที่ 4 การจัดระบบค่านิยม
                                                                                       4.2  การจัดระบบค่านิยม
                                                                                      5.1  การควบคุมตนเองแบบทั่วไป
ระดับที่ 5 การสร้างคุณลักษณะนิสัยของบุคคล
                                                                                      5.2  การสร้างลักษณะนิสัยอย่างแท้จริง
ภาพประกอบที่ 2.2  แสดงจุดมุ่งหมายของศึกษาตามระดับของพฤติกรรมเกี่ยวกับอารมณ์และสังคมในขอบเขตด้านจิตพิสัย
ที่มา: (สันติ บุญภิรมย์. 2553 : 179)

          3. ด้านทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) เป็นจุดมุ่งหมายของการศึกษาถึงพัฒนาการทางด้านร่างกายของผู้เรียน  โดยสังเกตพฤติกรรมที่มีความสัมพันธ์กันระหว่างกล้ามเนื้อระบบประสาท  และความสามารถทางสมองที่ความสามารถในการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ  ของร่างกายได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว  เป็นผลมาจากการฝึกหัดบ่อยๆ แล้วสามารถทำได้ดีอย่างรวดเร็วเป็นการฝึกภาคปฏิบัติของผู้เรียน  สำหรับทักษะพิสัยเป็นพฤติกรรมการเรียนรู้จำแนกออกเป็น 7 ระดับ คือ 1) การรับรู้ 2) การตระเตรียมความพร้อม 3) การตอบสนองตามแนวทางที่กำหนดให้ 4) ความสามารถด้านกลไก 5) การตอบสนองที่ซับซ้อน 6) ความสามารถในการดัดแปลง 7) ความสามารถในการริเริ่ม  สามารถแสดงได้ดังภาพประกอบที่ 2.3




1.1    การกระทบของสิ่งเร้าต่อประสาทสัมผัสด้านต่างๆ           1.1.1  การฟัง
                                                                                        1.1.2  การเห็น
                                                                                        1.1.3  การสัมผัส
ขั้นที่ 1 การรับรู้                                                                     1.1.4  การลิ้มรส
                                                                                        1.1.5  การดมกลิ่น
                                                                                        1.1.6  กล้ามเนื้อสัมผัส
                                                                                1.2  การเลือกที่จะรับรู้
                                    1.3  การแปลความหมาย
                                                                                2.1  ตระเตรียมความพร้อมด้านสมอง
ขั้นที่ 2 การตระเตรียมความพร้อม                                       2.2  ตระเตรียมความพร้อมทางร่างกาย
                                                   2.3  ตระเตรียมความพร้อมทางอารมณ์

ขั้นที่ 3 การตอบสนอง                                                     3.1  การเลียนแบบ
ตามแนวทางที่กำหนดให้                                        3.2  การลองผิดลองถูก
ขั้นที่ 4 ความสามารถด้านกลไก                                          4.1  ความสามารถในการปฏิบัติได้อย่างถูกต้องเหมาะสม

                                                                               5.1  การทำอย่างไม่ลังเล
ขั้นที่ 5 การตอบสนองที่ซับซ้อน                                         5.2  การปฏิบัติได้อย่างอัตโนมัติ
                                                                               6.1  สามารถหาวิธีลัด
ขั้นที่ 6 ความสามารถในการดัดแปลง                                   6.2  ใช้วิธีการแบบอื่นๆ ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้

ขั้นที่ 7 ความสามารถในการริเริ่ม                                        7.1  การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นได้
                                                                                    (การประดิษฐ์คิดค้นสิ่งต่างๆ
ภาพประกอบที่ 2.3  แสดงจุดมุ่งหมายของการศึกษาตามลำดับตอนของพฤติกรรมการเรียนรู้ในพัฒนาการทางร่างกายของ
                          ผู้เรียนขอบเขตด้านทักษะพิสัย
ที่มา: (สันติ บุญภิรมย์. 2553 : 180)

จุดมุ่งหมายของการศึกษาที่ได้กำหนดขึ้นมาเพื่อตรวจสอบพฤติกรรมในด้านต่างๆ ของผู้เรียนว่าบรรลุวัตถุประสงค์ตามพฤติกรรมนั้นๆ ในระดับใด สามารถบ่งบอกถึงผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนในสถานการณ์แห่งความเป็นจริง  ผู้สอนไม่สามารถแยกพัฒนาผู้เรียนออกเป็นทีละด้านได้  จะต้องมีการพัฒนาผู้เรียนแบบองค์รวม  โดนการผสมผสานกันไปตามแต่สภาวการณ์ของสถานศึกษานั้นๆ จะเอื้ออำนวยให้ ดังนั้น ความสัมพันธ์ที่เหมาะสมสอดคล้องกันอยู่ตรงที่จุดร่วมระหว่างจุดมุ่งหมายของการศึกษาที่มีพฤติกรรมการเรียนรู้ทั้งสามด้าน ประกอบด้วย 1) ด้านพุทธิพิสัย 2) ด้านจิตพิสัย 3) ด้านทักษะพิสัย สามารถแสดงความสอดคล้องระหว่างพฤติกรรมการเรียนรู้อันพึงประสงค์กับจุดมุ่งหมายของการศึกษาได้ดังภาพประกอบที่ 2.4
กล่องข้อความ: พฤติกรรมการเรียนรู้อันพึงประสงค์สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของการศึกษา
    ภาพประกอบที่ 2.4 แสดงความสอดคล้องระหว่างพฤติกรรมการเรียนอันพึงประสงค์กับจุดมุ่งหมายของการศึกษา
ที่มา: (สันติ บุญภิรมย์. 2553 : 181)

สำหรับการวัดผลการเรียนโดยนำผลที่ได้ไปทำการประเมินผลการเรียนซึ่งครูสามารถเลือกใช้วิธีการที่หลากหลาย เพื่อค้นหาความจริงที่สามารถวัดได้โดยการใช้เครื่องมือชนิดต่างๆทั้งที่ครูสร้างขึ้น เครื่องมือมาตรฐานด้านวิชาการ และเครื่องมืออื่นที่ครูควรนำมาใช้เพื่อประกอบการให้คะแนน ดังต่อไปนี้
           1. การสังเกต หมายถึง การเผ้าดูพฤติกรรมของนักเรียนที่แสดงออกมา เช่น การตั้งใจเรียนในชั้นเรียน การเข้ากลุ่มทำงานตามที่ครูมอบหมาย และสังเกตการณ์ค้นคว้าศึกษาเพิ่มเติม เป็นต้น
           2. การสัมภาษณ์ หมายถึง การพูดคุยกับนักเรียนเพื่อให้ได้รับรู้รับทราบถึงความเจริญก้าวหน้าในด้านการเรียน สำหรับการพูดครูอาจจะถามความรู้ ความเข้าใจในเนื้อหาสาระของวิชาการต่างๆที่ครูสอน พร้อมทั้งสอบถามเกี่ยวกับวิธีการเรียนและวิธีการทำงานที่นักเรียนที่มีผลการเรียนดี และมีผลการเรียนแย่ เป็นต้น
           3. การทดสอบ หมายถึง การวัดความรู้ของนักเรียนในแต่ละรายวิชาที่ได้เรียนมาโดยใช้ข้อสอบ
           4. การจัดอันดับคุณภาพ หมายถึง การนำผลงานของนักเรียนในภาคปฏิบัติที่เป็นผลงานของนักเรียนมาเปรียบเทียบกันแล้วแบ่งผลงานออกเป็นกลุ่มๆ คุณภาพว่าอยู่ในระดับใด เช่น จัดอันดับคุณภาพออกเป็น A B’ B C’ C D’ และ E เป็นต้น
           5. การใช้แบบทดสอบและแบบสำรวจ หมายถึง การให้นักเรียนได้ตอบแบบทดสอบและแบบสำรวจเกี่ยวกับการสอนของครู หรืออาจจะให้นักเรียนได้ตอบความรู้ ความเข้าใจของนักเรียนที่มีคือ การสอนของครูโดยมีการถามเกี่ยวกับครูหรือนักเรียนก็ได้
           6. การบันทึกและระเบียนสะสม หมายถึง การที่ครูได้จดบันทึกพฤติกรรมความเจริญก้าวหน้าของนักเรียนในแต่ละช่วงเวลาตามความเหมาะสมเพื่อดูพัฒนาการจะได้นำมาใช้ประกอบการประเมินผลการเรียนต่อไป
           7. การศึกษารายบุคคล หมายถึง การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคลเพื่อให้ทราบถึงความก้าวหน้า ปัญหา อุปสรรคในด้านการเรียนการสอน และด้านอื่นๆ
           8. การใช้วิธีสังคมมิติ หมายถึง เมื่อนักเรียนมาอยู่ร่วมกันไปก็จะเกิดเป็นสภาพสังคมกลุ่มหนึ่งในห้องเรียนนั้นๆ ทั้งนี้ เพื่อทำการตรวจสอบดูว่าใครคนใดที่เป็นสมาชิกของห้องเรียนได้รับความนิยมสูงสุด หรืออาจจะจำแนกออกเป็นรายด้านก็สามารถกระทำได้
           9. การให้ปฏิบัติและการนำไปใช้ หมายถึง การติดตามความก้าวหน้าหน้าของนักเรียนในการนำไปสู่การปฏิบัติอาจเป็นได้ ทั้งนี้ นักเรียนได้ศึกษาจากใบงานที่แนะนำวิธีการปฏิบัติได้ หรืออาจมาจากการแนะนำของครูผู้สอนที่ได้แนะนำไปแล้ว
           Research : R (การวิจัย) เป็นหน้าที่ของครูที่จะต้องทำการวิจัยเพื่อค้นหาความจริงทั้งในด้านพัฒนาองค์ความรู้ในสาขาวิชาที่ครูได้สอน จะได้นำเอาผลการวิจัยมาใช้ประกอบการเรียนการสอนเป็นความรู้ใหม่ที่ค้นพบ โดยกระบวนการวิจัยที่เป็นกระบวนการเชื่อถือได้ และการศึกษาเกี่ยวกับนักเรียน ทั้งนี้ การค้นคว้าวิจัยต้องเริ่มต้นที่ปัญหาแล้วมากำหนดตั้งเป็นชื่อ และดำเนินการตามกระบวนการของการศึกษา ผลของการศึกษาโดยรวมองค์ความรู้ต่างๆ ที่จะนำมาใช้เป็นทั้งข้อเสนอแนะแนวทางในการแก้ปัญหาในเรื่องนั้นๆ ต่อไป
           Responsibility : R (ความรับผิดชอบ) เป็นข้อผูกมัดหรือภาระหน้าที่ต้องกระทำให้บรรลุไปตามที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งเป็นหัวใจของการทำงานนั้นๆ ให้บรรลุผลสำเร็จในระดับที่มีคุณภาพ ดังนั้น ความรับผิดชอบเป็นการทำงานด้วยใจที่มีพันธะผูกพันอยู่กับงานที่ทำให้บรรลุผลสำเร็จในระดับคุณภาพ
           Review : R (ทบทวน) ครูที่ดี เมื่อได้ปฏิบัติงานตามหน้าที่ไปแล้วควรจะได้ทำการทบทวนไตร่ตรองงานที่ได้กระทำไปแล้วว่ามีปัญหา อุปสรรคอะไรบ้าง มีประโยชน์ต่อนักเรียน เพื่อนร่วมงาน หรือผู้บังคับบัญชาอย่างไร การทบทวนทำให้หน้าที่ของครูตามตัวอักษร R มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
           Service : S (การบริการ) เนื่องด้วยครูเป็นวิชาชีพขั้นสูงที่ต้องให้บริการแก่สังคมโดยปกติอยู่แล้ว ครูเป็นนักให้บริการสาธารณะโดยธรรมชาติ ครูเป็นบุคคลที่บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมยิ่งหย่อนไปกว่าบุคคลในสาขาวิชาชีพหรืออาชีพอื่นๆ หน้าที่ของครูในการให้บริการสังคมมีแนวทางในการให้บริการ ดังนี้ (พศิน แดงจวง. 2554 : 108)
           1. บริการความรู้ทั่วไปให้แก่นักเรียน ผู้ปกครอง ประชาชนในท้องถิ่น
           2. บริการความรู้ทางด้านความรู้และสุขภาพอนามัย โดยเป็นผู้ให้ความรู้หรือเป็นผู้ประสานงานเพื่อดำเนินการให้ความรู้แก่ประชาชน
           3. บริการด้านอาชีพ เช่น ร่วมมือกับหน่วยงานอื่นเพื่อจัดฝึกอบรมอาชีพระยะสั้นให้ประชาชนท้องถิ่น
           4. บริการให้คำปรึกษาหารือทางด้านการศึกษาหรือการทำงาน
           5. บริการด้านแรงงาน เช่น ครูร่วมมือกับนักเรียนเพื่อพัฒนาหมู่บ้าน
           6. บริการด้านอาคารสถานที่ให้แก่ผู้ปกครองนักเรียนที่มาขอใช้อาคารสถานที่ในโรงเรียนด้วยความเต็มใจ
           Synergy : S (การประสานหลัก) ในที่นี้ หมายถึง การประสานความร่วมมือระหว่างครูกับครูที่แต่ละคนมีความเชี่ยวชาญในแต่ละสาขาวิชา เมื่อมาประสานร่วมมือกันก็สามารถให้เกิดผลสมบูรณ์ในงานหรือกิจกรรมต่างๆ ที่ครูให้บริการ เป็นการประสานศาสนศาสตร์ต่างๆ เข้าด้วยกันทำให้งานของครูทั้งหมู่คณะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
           System : S (ระบบ) ที่เป็นรูปแบบของการให้บริการโดยการเริ่มต้น ปัจจัยนำเข้า (Input) กระบวนการดำเนินการ (Process) ผลผลิต (Output) พร้อมทั้งข้อมูลป้อนกลับ (Feedblack) ทั้งนี้เพื่อเป็นองค์ประกอบในการส่งเสริมให้ Service มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
           ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า หน้าที่ของครู หมายถึง การกำหนดกิจที่จะต้องทำด้วยความรับผิดชอบให้กับครูได้ยึดถือเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติในภาษาอังกฤษ คือ TEACHERS โดยนำความหมายในตัวอักษรแต่ละตัวมากำหนดเป็นหน้าที่ให้ครูได้ปฏิบัติ หน้าที่ที่กำหนดให้นี้โดย รองศาสตราจารย์ยนต์ ชุ่มจิต และรองศาสตราจารย์ ดร.พศิน แดงจวง พร้อมทั้งผู้เขียนขอนำเสนอเพิ่มเติมเพื่อความสมบูรณ์ของในหน้าที่ครูที่สามารถแสดงได้ดังภาพประกอบที่ 2.5




TEACHERS
        หน้าที่เพิ่มขึ้น                                                                                   หน้าที่ปกติ
วงรี: T
 


วงรี: E       3) Technique                                                                   1) Teaching 2) Technology
วงรี: A       4) Equity                                            1) Ethic                   2) Education 3) English Language
วงรี: C       3) Advisor 4) Advance                                                       1) Academic 2) Attitude
วงรี: H                                                                                            1) cultural Heritage 2) Computer Literacy
วงรี: E                                                                                            1) Human Relationship  2) Healthy
วงรี: R                                                                                            1) Evaluation
วงรี: S      3) Review                                                                         1) Research   2) Responsibility
      3) System                                                                         1) Service   2) Synergy

ภาพประกอบที่ 2.5 แสดงหน้าที่ของครูตามการบ่งบอกถึงหน้าที่ตามตัวอักษรภาษาอังกฤษของแต่ละตัวทั้งหน้าที่ปกติแต่ละ
 หน้าที่เพิ่มขึ้นความสมบูรณ์ของหน้าที่ปกติ

ภาระงานของครู
ภาระงานของครู หมายถึง งานหรือกิจกรรมที่หน่วยงานที่ครูสังกัดอยู่และบุคคลทั่วไปที่มอบให้ครูได้ปฏิบัติจัดทำ สำหรับความเห็นของผู้เขียนแล้วมีความเห็นว่าภาระมีความหมายสำคัญเหนือกว่าความรับผิดชอบ ภาระงานของครูตามรายงานของท่าผู้รู้ในงานของครู มีดังต่อไปนี้
วิไล  ตั้งจิตสมคิด (2544 : 83)  ได้กล่าวถึง  ภาระงานของครูในสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครู ได้กำหนดภาระงานของครูรวม 5 ประการ ดังนี้
1.    งานเกี่ยวกับการเรียนการสอน  ได้แก่  การให้การศึกษา การปกครองดูแล  การให้คำปรึกษาแนะนำ แนะแนวทางการศึกษา การแนะแนวอาชีพ  และปัญหาต่างๆ แก่นักเรียน  นักศึกษา
2.    งานบริการสังคมในด้านวิชาการและด้านอื่นๆ  การทำนุบำรุง  เสริมสร้างศิลปวัฒนธรรม
3.    งานเกี่ยวกับการศึกษาค้นคว้า วิจัย วิเคราะห์
4.    งานด้านการนิเทศ  วัดผล  ประเมินผล  เสนอแนะ  การปรับปรุงหลักสูตร  การเปรียบเทียบเอกสารทางวิชาการ  การใช้สื่อการเรียนการสอน  การใช้เทคนิค  และวิธีการใหม่ๆ ทางการศึกษา
5.    งานด้านการปฏิบัติหน้าที่อื่นที่เกี่ยวข้อง
ในขณะเดียวกัน รองศาสตราจารย์วิไล  ตั้งจิตสมคิด  ได้นำเสนอข้อมูลที่ได้จากผลการวิจัย
ประสิทธิภาพการใช้ครู  พบว่าภาระงานที่โรงเรียนมอบให้ครูได้ปฏิบัติมีความแตกต่างกันมาก กล่าวคือ
1)    โรงเรียนระดับประถมศึกษา  ครูมีภาระงานสอนในปริมาณ 16-20  ชั่วโมงต่อสัปดาห์  หรืออาจมีชั่วโมงสอนเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 24-26 ชั่วโมงต่อสัปดาห์  อันเป็นผลเนื่องมาจากการขาดแคลนครู  หรือครูลาศึกษาต่อ  และครูไปช่วยงานอื่นๆ  เช่น  งานบริหาร  หรืองานธุรการ  เป็นต้น
2)    โรงเรียนระดับมัธยมศึกษา  จำแนกออกเป็น  มัธยมศึกษาขนาดใหญ่  ภาระงานสอนของครูในปริมาณ 15 ชั่วโมงต่อสัปดาห์  และรับภาระสอบเพียง 1-2  วิชาต่อครูหนึ่งคน  ส่วนมัธยมศึกษาขนาดเล็ก  ภาระงานสอนของครูในปริมาณ 15-20  ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ถึง 18-23 ชั่วโมงต่อสัปดาห์  และภาระสอนถึง 3 วิชา อันเนื่องมาจากการขาดแคลนครู  โดยเฉพาะครูพิเศษรายวิชา
พศิล  แตงจวง  (2555 : 94)  ได้กล่าวว่า ครูได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาคนที่สอง  ดังนั้นผู้ปกครองจึงส่งบุตรหลานเข้าโรงเรียนโดยฝากความหวังไว้กับครู และมอบภาระต่างๆ ที่มีคือนักเรียน  เช่น  ได้มอบการควบคุมดูแลลูกของตนให้กับครู
จีระ  งอกศิลป์ (2555 : 19) ได้กล่าวว่า ภาระงาสอนของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาสายการสอน  สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน  ตามหนังสือสำนักงาน  ก.ค.ศ. ด่วนที่สุด ที่  ศธ 0206.3/3724  ลงวันที่ 21 กันยายน 2553  สามารถแสดงได้ดังตารางที่ 2.1








ระดับการศึกษา/ประเภท




จำนวนชั่วโมงสอน
ตามตารางสอน   (ข้อ 1.1)
จำนวนชั่วโมง
ภาระงานสอนขั้นต่ำ
(ข้อ 1.1 และ 1.2)  หรือ
(ข้อ 1.1 และ 1.3)  หรือ
(ข้อ 1.1,1.2 และ 1.3)
(ปรากฏในหมายเหตุ)
1.     ระดับปฐมวัย
ไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมง/สัปดาห์
ไม่ต่ำกว่า 12 ชั่วโมง/สัปดาห์
2.     ระดับประถมศึกษา
3.     ระดับมัธยมศึกษา
(รวมโรงเรียนวัตถุประสงค์พิเศษด้วย)

ไม่ต่ำกว่า 12 ชั่วโมง/สัปดาห์

ไม่ต่ำกว่า 18 ชั่วโมง/สัปดาห์
4. การศึกษาพิเศษ
4.1         เฉพาะความพิการและศูนย์การศึกษาพิเศษ
4.2      ศึกษาสงเคราะห์และราชประชานุเคราะห์

ไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมง/สัปดาห์

ไม่ต่ำกว่า 12 ชั่วโมง/สัปดาห์

ไม่ต่ำกว่า 12 ชั่วโมง/สัปดาห์

ไม่ต่ำกว่า 18 ชั่วโมง/สัปดาห์
 ตารางที่ 2.1 แสดงภาระงานสอนของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาสายการสอน
ที่มา: (จีระ งอกศิลป์. 2555 : 19)
หมายเหตุ:  ก.ค.ศ.  มีมติเห็นชอบให้กำหนดภาระงานสอนของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สายงานสอนเพื่อเป็นคุณสมบัติในการขอรับประเมินให้มีวิทยฐานะหรือเลื่อนวิทยฐานะ ดังนี้
1.    ความหมายของภาระงานสอน จำนวนชั่วโมงสอนตามตารางสอน  ภาระงานที่เกี่ยวเนื่องกับการจัดการเรียนการสอน และภาระงานการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา โดยมีรายละเอียดดังนี้
1.1                         ชั่วโมงสอนตามตารางสอน  หมายถึง  จำนวนชั่วโมงปฏิบัติงานสอน  กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน  การจัดประสบการณ์การเรียนรู้  กิจกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพผู้เรียน
1.2                         ภาระงานที่เกี่ยวเนื่องกับการจัดการเรียนการสอน  หมายถึง  การปฏิบัติงานที่ไม่ใช่การปฏิบัติตามตารางสอน  แต่เป็นงานที่จะต้องให้ครูปฏิบัติเพื่อให้การจัดการเรียนการสอนมีคุณภาพ เช่น การจัดทำแผนการเรียนรู้  แผนการจัดประสบการณ์  แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) และแผนการจัดการเรียนรู้เฉพาะบุคคล (TIP)  การวัดและประเมินผลการเรียนรู้  การประเมินพัฒนาการเด็ก  การสร้างและพัฒนาการเรียนการสอน เป็นต้น
1.3                          ภาระงานการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา  หมายถึง  ภาระงานส่งเสริมสนับสนุนการจัดการศึกษาของสถานศึกษาในด้านต่างๆ  เพื่อส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียน เช่น ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ หัวหน้าสายชั้น  ช่วยปฏิบัติงานการบริหารและจัดการศึกษา (การบริหารงานวิชาการ การบริหารงานบุคคล การบริหารงบประมาณ และการบริหารงานทั่วไป)  เป็นต้น
ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า ภาระงานของครู หมายถึง งานที่ทางโรงเรียนซึ่งเป็นหน่วยงานต้นสังกัดมอบหมายให้ปฏิบัติจัดทำในฐานะที่ดำรงตำแหน่งข้าราชการครู  และบุคลากรทางการศึกษาสายการสอน  เพื่อให้งานในหน้าที่ของโรงเรียนได้รับการปฏิบัติจัดทำให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีอย่างมีคุณภาพ ภาระงานของครูอาจแตกต่างกันไปในแต่ละประเภทและขนาดของโรงเรียนเพื่อให้สอดคล้องกับปรัชญา วิสัยทัศน์ พันธกิจ  วัตถุประสงค์ของโรงเรียนนั้นๆ  และหมายความรวมถึงภาระงานทางหน่วยงานที่ครูสังกัดอยู่ได้รับมอบหมายให้ครูได้ปฏิบัติจัดทำเช่นเดียวกัน

สรุปท้ายบท
ครูเป็นความหวังของสังคมในการช่วยพัฒนาเด็ก เยาวชน  นักเรียน  นักศึกษา  ให้มีความรู้คู่คุณธรรม  และให้ครูได้แสดงออกถึงการพัฒนาบุคคลดังกล่าวตั้งแต่ระดับกึ่งฝีมือ  ระดับช่างเทคนิค และระดับวิชาชีพ  พร้อมทั้งให้แสดงออกถึงการธำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรมของชาติที่แสดงให้เห็นถึงความคงอยู่ของชาติบ้านเมือง  ดังนั้น  ระดับบุคคลและหน่วยงานได้กำหนดขอบเขตงานของครูเพื่อตอบสนองต่อความคาดหวังของสังคมที่เกี่ยวกับบทบาทของครูเพื่อให้ครูได้แสดงออกถึงการกระทำตามหน้าที่ที่ได้กำหนดไว้พร้อมทั้งงานอื่นๆ  ของครูที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาทุกระดับ  ซึ่งมีความสอดคล้องสัมพันธ์กันระหว่างบทบาท  หน้าที่ และภาระงานของครู  ซึ่งสามารถแสดงได้ดังภาพประกอบที่ 2.6




คำอธิบาย: งาน.jpg
                                                                                                                




ภาพประกอบที่ 2.6 แสดงบทบาท หน้าที่ และภาระงานของครู

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น